กริยา 3 ช่องที่มีรูปช่องที่ 2 (Past) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) หน้า 3

กริยา 3 ช่อง

รูปช่องที่ 2 (Past) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) ดังต่อไปนี้ 
หมายเหตุ : กริยา 3 ช่องหน้า 3 ตั้งแต่ F ถึง H

กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่องที่มีรูปช่องที่ 2 (Past) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) หน้า 2

กริยา 3 ช่อง

รูปช่องที่ 2 (Past) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) ดังต่อไปนี้ 
หมายเหตุ : กริยา 3 ช่องหน้า 2 ตั้งแต่ B ถึง D
กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่องที่มีรูปช่องที่ 2 (Past) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) หน้า 1

กริยา 3 ช่อง

รูปช่องที่ 2 (Past) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) ดังต่อไปนี้ 
หมายเหตุ : กริยา 3 ช่องหน้า 1 ตั้งแต่ A ถึง B

กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่องที่มีรูปช่องที่ 1 (Present)เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle)

กริยา 3 ช่อง


รูปช่องที่ 1 (Present) เหมือนกับช่องที่ 3 (Past Participle) มีดังต่อไปนี้

กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่อง

หมายเหตุ  : สังเกตุที่สีเขียวช่องที่ 1 กับ 3 จะเหมือนกัน

หลักการอ่านคำกริยาปรกติ (Regular Verb) ที่เติม -ed

หลักการอ่านคำกริยาปรกติ (Regular Verb) ที่เติม -ed


หลักในการอ่านคำกริยาปรกติที่เติม -ed โดยหลักการมี 3 ข้อต่อไปนี้

การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ
การอ่านเมื่อเติม -ed


1. ถ้ากริยาลงท้ายด้วยเสียง /t/ (ถึ) เมื่อเติม -ed ท้ายคำแล้วให้อ่านเป็น "ทิด" หรือ "เท็ด" และถ้าคำกริยาลงท้ายด้วยเสียง /d/ (ดึ) เมื่อเติม-ed ให้อ่านออกเสียงเป็น "ดิด" หรือ "เด็ด" เช่น

  • wanted (ว้อนเท็ด) : ต้องการ
  • deleted (ดีลีทเท็ด) : ลบล้าง
  • acted (แอ็คเท็ด) : แสดง
  • needed (นีดเด็ด) : ต้องการ
  • handed (แฮนเด็ด) : ส่ง
  • faded (เฟดเด็ด) : จาง,เลือนลาง


2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วยเสียง /f/,/k/,/p/,/s/,/sh/,/ch/, และ /x/ เมื่อเติม -ed ท้ายคำแล้ว อ่านออกเสียงเป็น "ถึ" เช่น

  • laughed (ลาฟถึ) : หัวเราะ
  • picked (พิคถึ) : เก็บ
  • chopped (ช็อพถึ) : ตัด,สับ,หั่น
  • decreased (ดีครีสถึ) : ลดลง
  • crashed (แครชถึ) : ชน,ปะทะ 
  • relaxed (รีแล็กซถึ) : ผ่อนคลาย


3. คำกริยาที่มีเสียงท้ายนอกจากข้อ 1 และ 2 เมื่อเติม -ed ท้ายคำแล้วให้อ่านออกเสียงเป็น "ดึ" เช่น

  • bloomed (บลูมดึ) : เบ่งบาน
  • stabbed (สแต็บดึ) : แทง
  • stared (สแตร์ดึ) : จ้องมอง
  • smiled (สไมล์ดดึ) : ยิ้ม
  • signed (ไซน์ดึ) : เช็นชื่อ

หมายเหตุ : คำกริยาบางคำเมื่อเติม -ed แล้วจะมีรูปตรงกับคำคุณศัพท์หรือ Adjectives ซึ่งต้องสัีงเกตุให้ดี เมื่อมีอยู่ในประโยค และการอ่านคำคุณศัพท์ที่มี -ed ท้ายคำนั้นไม่ได้เป็นไปตามกฏเดียวกับการอา่น -ed ท้ายคำกริยา

ตัวอย่างการใช้ Tense

ตัวอย่างการใช้ Tense


Ben goes to school every day.
เบนไปโรงเรียนทุกวัน
ประโยคนี้ใช้ Present Simple Tense เพราะกริยาช่องที่ 1 ของ go เติม es ซึ่งผันตามประธาน Ben ที่เป็นประธานเอกพจน์ และมีคำวิเศษณ์ every day ขยายกริยา go ให้ทราบว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกวัน

Ben went to school yesterday.
เบนไปโรงเรียนเมื่อวานนี้
ประโยคนี้ใช้ Past Simple Tense เพราะกริยา went เป็นกริยาช่องที่ 2 ที่ผันมาจากกริยาช่องที่ 1 ของ go และมีคำวิเศษณ์ yesterday แสดงเวลาให้ทราบว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สิ้นสุดลงแล้ว

Ben has gone to school for 5 years.
เบนไปโรงเรียนได้ 5 ปีแล้ว
ประโยคนี้ใช้ Present Perfect Tense เพราะกริยา gone เป็นกริยาช่องที่ 3 ที่ผันมาจากริยาช่องที่ 1 คือ go ซึ่งเป็นไปตามโครงสร้างของ Tense ที่ให้ไว้ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาเรื่อยๆ จนถึงปันจุบัน และมีวลี for 5 years มาขยายให้ทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานเท่าใด

Tenses

Tenses


ก่อนที่จะเรียนกริยา 3 ช่อง จะพูดถึง Tense ทั้ง 12 Tenses ในภาษาอังกฤษ
 ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญของไวยากรณ์อังกฤษอย่างมาก 
เพราะ Tense เป็นสิ่งที่ใช้แสดงกาล หรือเวลาของการกระทำว่า เกิดขึ้นเมื่อไร 
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการผันกริยา หรือ Verb ในภาษาอังกฤษโดยตรง
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องศึกษาเรื่อง Tense ให้เข้าใจก่อนเรียน 
เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจ และง่ายต่อการผันกริยา หรือการใช้กริยา 3 ช่องนั่นเอง 
แต่ Tense ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกริยา 3 ช่องนั้นคือ 
Tense ที่อยู่ในส่วนที่เป็น Past Tense (อดีตกาล) และ Perfect Tense (สมบูรณ์กาล) 
เพราะเป็น Tense ที่ต้องใช้กริยาในรูปอดีตเสมอ

Tense ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 Tenses หลักๆ คือ

  1. Present Tense (ปัจจุบันกาล)
  2. Past Tense (อดีตกาล)
  3. Future Tense (อนาคตกาล)


และแต่ละ Tense ยังแบ่งย่อยออกเป็น

Simple : ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะเสร็จเมื่อใด
Continuous : ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น
Perfect : ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสมบูรณ์แล้ว
Perfect Continuous : ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินเรื่อยมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นในแต่ละ Tense จะแบ่งย่อยออกไปได้อีก 4 Tenses ทำให้ Tense มีทั้งหมด 12 Tenses คือ



1. Present Simple Tense
    S + V.1 + ....

2. Present Continuous Tense
    S + is,am,are + V.ing + .....

3. Present Perfect Tense
   S + have,has + V.3 + .....

4. Present Perfect Continuous Tense
   S + have,has + been + V.ing + .....